หลังจากเราได้ดูรายการแข่งที่เฟ้นหาแร็ปเปอร์มาพักใหญ่ สิ่งที่เราคิดว่าพึงมีคุณค่าน่าฟังอย่างหนึ่งในรายการคือ คำแนะนำของโปรดิวเซอร์ที่บอกให้กับน้องๆ ที่กำลังเริ่มเดินบนเส้นทางนี้ ว่าต้องกลับไปปรับแก้ไขแบบไหนด้วยเวลาอันจำกัดของรายการ อาจจะไม่ได้มีการขยายความว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นมันหมายความว่ายังไง เราเลยคิดว่าถ้าเอาให้ได้อ่านกันต่อ น่าจะมีประโยน์กว่าการบ่นด่าทอต่อความจากดราม่า
1. ขอแร็ป 16 บาร์หน่อยซิ และเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Time Signature ในการคัดตัวแร็ปเปอร์ คือ ถ้าโปรดิวเซอร์อยากรู้ว่ามีของเพิ่มในคลังสมองไหม หรือการเอาตัวรอดจากเส้นตาย นี่คือขอนไม้ท่อน สุดท้ายที่เกาะได้ ว่าแต่ 16 บาร์เขานับกันยังไง ที่เขาเรียกว่านับบาร์ก็คือ การนับอัตราส่วนห้องดนตรี นั่นล่ะ ซึ่ง 1 ห้อง ก็จะมีสัดส่วนแบบนี้
2. intro คือการปูเปิดเรื่อง จุดเริ่มต้นของเรื่อง จั่วหัวเรื่อง pre-hook คือหลังจากปูหัวเรื่องแล้ว กำลังเข้าจุดขมวดของเรื่อง เข้าปมของเรื่อง hook คือ แก่นของเรื่อง จุดกระชากความสนใจ คำที่ต้อง ใช้คือคำที่คุณคิดว่ามันต้องหยุด มันสามารถฟังต่อแล้วติดปากไปได้ ความแข็งแรงมีเท่าไหร่มีไว้ใส่ตรง นี้
3. Dynamic พลิกความน่าสนใจ ไม่ใช่มีแค่ Flip & Flow แร็ปเปอร์บางคนตั้งใจมาแสดงความ พลิกเแพลง บางคนมาออกแนวเสียงดัง หวังผลว่าตัวฉันนั้นจะแร็ปโหด ทำเสียงเหมือนว่าจะแร็ปโกรธ ซึ่งจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่บางคนก็เล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นระนาบเดียว
4. Punch Line ต่อยให้ตายด้วยคำคล้อง เวลาคุณไปแข่งแร็ปที่ไหน คุณมีเวลาในการปูจุดสนใจไม่ นานนัก ปกติเขาให้ไม่เกิน 1 นาทีเพราะหัวใจของการแร็ปอย่างคือ “story telling” ฉะนั้นการเข้าใจ ปูโครงสร้างเรื่องจึงจำเป็น การเขียนเพลงฮิป-ฮอป กับเพลงแนวอื่นๆ มันก็ไม่ต่างกัน มันต่างกันแค่วิธี ที่คุณใช้สื่อสารก็แค่นั้น เวลาที่เขาเขียนเพลงหลักๆ เราจะแยกท่อนแบบนี้
การแร็ปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน ต้องมีการฝึกฝน มีความขยันและมีความอดทนเพราะการแร็ปนั้นยากและต้องอาศัยองค์ความรู้ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการแร็ปให้มากที่สุด เพื่อที่จะสามรถแร็ปออกมาได้ดี